วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

การเดินทาง



เรารู้ว่าทางที่เราเดินไปหาคุณเป็นทางตัน 

คุณให้ระยะทางเราเท่านี้ 

แต่เราก็ยอมเดินไปจนสุดทาง

.
.


.


วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

TRAVEL : PARADISE, KANCHANABURI. ชีวิตพาราไดซ์ในกาญจนบุรี











บันทึกการเดินทางชีวิตพาราไดซ์ในกาญจนบุรี
 อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ละเอียด เพราะเดิมแรกไม่ได้ตั้งใจจะมารีวิว แต่เพราะที่นี่
  'The River Kwai Paradise'
เติมเต็มความประทับใจให้กับประสบกาณ์เที่ยค้างคืนต่างจังหวัดกับเพื่อครั้งแรกจนเปี่ยมล้น
จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ใครหลายๆคนได้มาสัมผัสที่นี่ดูสักครั้ง 
เชื่อว่าคนที่เดินทางไปเองไม่มีรถแบบเรา หรือคนที่มาด้วยรถส่วนตัวจะต้องติดใจ
แล้วอยากกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน
 




จะไปที่ไหน?
       คำถามแรกที่ปรากฏขึ้นในพื้นที่สมอง ทั้งถูก เดินทางสะดวก และมีกิจกรรมสนุก
เริ่มแรกเลยเราหาอยู่นานมากว่าจะไปเที่ยวไหนดี และเป็นการไปต่างจังหวัดครั้งแรกกับเพื่อน
โดยไม่มีรถส่วนตัวแถมค้างคืนอีก
 ก็ยิ่งอยากหาที่พักที่ดีเดินทางง่าย กาญจนบุรีเป็นจังหวัด
ที่มีที่พักเยอะมากจนไม่สามารถเลือกได้
      จนในที่สุดเรากับเพื่อนสรุปกันว่าเลือกสักที่เถอะ เราได้โทรติดต่อจองที่พัก
กับทาง
The River Kwai Paradise ทั้งทางโทรศัพท์และทางไลน์ พี่เจ้าของที่พักน่ารักมากยินดี
ตอบคำถามทุกอย่าง
เราได้ราคาห้องมาด้วยแพคเก็จรวมอาหารเย็นและเช้า+ล่องแพ 2 วัน 1 คืน
คนละ
1100 บาท เช็คอิน
14.00น. เช็คเอ้าท์ 12.00น.



การเดินทาง
- เริ่มต้นที่รถตู้อนุสาวรีย์ชัย - กาญจนบุรี ให้ลงที่บขส.กาญจนบุรี ค่าใช้จ่าย 120 บาท
ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ
2 ชั่วโมง
จากบขส.ให้ขึ้นรถที่เข้าเส้นทางทองผาภูมิ ซึ่งสามารถเลือกขึ้นรถตู้ ราคา 100 กว่าบาท
หรือว่าจะขึ้นร
บัสสโลว์ไลฟ์ได้ 55 บาทใช้เวลาเดินทางเข้าไปยังที่พักประมาณ 2 ชั่วโมง



      เนื่องจากตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำรีวิว ภาพส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายตามอารมณ์
ไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก
 การขึ้นรถไปทองผาภูมิ ตอนแรกพี่ที่รบัสบอกว่าเดินทาง
ประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึง เราเลยเลือกขึ้นรถบัส พอล้อหมุนเท่านั้น
 ชีวิตสโลว์ไลฟ์สุด ลงไม่ได้
นั่งเปื่อยอยู่บนนั้นเกือบสามชั่วโมง ถ้าใครอยากถึงที่พักเร็วๆ แนะนำรถตู้เลย




     แต่ข้อดีของรถบัสก็มีนะ ชมวิวธรรมชาติไปเรื่อยๆ มีชาวต่างชาติด้วย เรามีเพื่อนร่วมทาง
เป็นสาวชาวฝรั่งเศสมาแบบบุกเดี่ยวและสไตล์ดูฮิปสเตอร์แบบชิคๆมาก เราที่นั่งมองก็แอบกดชัตเตอร์ไปเพลินๆ















บอกให้รถมาจอดที่ดาวดึงส์ นี่คือป้ายที่อยู่ปากทางเข้าที่พัก จริงๆใครอยากเดินเข้าไปก็เดินได้ไม่ไกลมาก
แต่ถ้าขี้เกียจเดินโทรบอกพี่ที่รีสอร์ทให้ออกมารับได้เลยจะมีรถมอไซค์ที่มีที่นั่งพ่วง นั่งกันรับลมชมวิว ธรรมชาติสุดๆ
 








           เราเดินทางจากบขส. บ่าย 3 โมง ทำให้กว่าจะได้เข้าที่พักก็เกือบ 6 โมง เมื่อมาถึงให้ติดต่อกับพี่เจ้าของที่พัก
พร้อมจ่ายเงินที่เหลือ (ตอนจองต้องมัดจำ
50%) จะได้กุญแจห้องมา สามารถหยิบเสื้อชูชีพติดตัวไปด้วย
ไว้เล่นน้ำหน้าห้อง ห้องที่เราได้ถือว่าวิวสวยมากโชคดีเลย
ตอนเรามาน้ำไหลค่อนข้างแรง แถมบรรยากาศ
ปกคลุมด้วยความมืด จึงตัดสินใจไม่ลงเล่นน้ำเพื่อความปลอดภัย เข้าห้องพักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อม
สำหรับมื้ออาหารเย็น











      เมื้อเย็นที่นี่จะเปิดให้ทานได้ตั้งแต่เวลา 18.30-20.00 น. เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งของคาวและของหวาน
อร่อยมาก
มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายเพิ่มเติมสำหรับใครอยากนั่งเล่นจิบเบาๆเอาบรรยากาศ  



          ที่นี่จะมีห้องพักเยอะเราเลยเดินสำรวจทางอื่นๆระหว่างรออาหารย่อย บรรยากาศโดยรอบจะมีไฟสีส้มสลัวๆไม่สว่างมาก ลมเย็นสบายๆแถมไม่มียุงเลย
 






           ภายในห้องพักเราไม่ได้ถ่ายมา แต่ห้องที่เราพักจะเป็นเตียงใหญ่ที่สามารถนอน 2 คนได้สบายๆ มีสบู่
ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว น้ำดื่มและทิชชู่ให้ ใครที่กลัวหนาว ที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้เช่นกัน
ใครที่อยากเล่น wifi
ต้องใช้บริการที่ห้องรวมที่ทานอาหารจะเปิดให้ใช้ได้เลย ในห้องพักปลั๊กจะเป็นแบบปลั๊ก
2 รู

จบไปแล้วกับค่ำคืนแรก






           ตอนเช้าตื่นมาตอนแรกกะว่าจะตื่นประมาณตี 5 เพื่อมาสูดอากาศและเก็บภาพเล่นๆ
แต่เพราะบรรยากาศดีมากและข้างนอกยังมืดเลยนอนต่อจนถึง 6 โมงเช้า



        

         ทันทีที่ออกมานอกห้อง ตื่นเต้นกับบรรยากาศมาก ม่านหมอกหนาตาหาไม่ได้ในกรุงเทพ
ว่าแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆชาร์จพลังให้กับตัวเอง











            มื้อเช้าจะเริ่มเวลา 6.30-8.30 น. เป็นบุฟเฟต์เช่นเคย มีให้เลือกหลายอย่างทั้งอาหารไทยเบาๆ
ข้าวต้มร้อนๆ หรือจะเป็นอเมริกันเบรคฟาสต์ ดื่มด่ำกับกาแฟหอมกรุ่นให้คาเฟอีนเรียกความสดชื่นในร่างกาย
 
ตบท้ายด้วยผลไม้สดชื่นก็ดีทั้งนั้น












               สำหรับการล่องแพที่นี่จะแบ่งเป็น 2 เวลาคือ 15.00น. และ 8.00น.
เราเลือกเล่นตอนเช้าเพราะเมื่อวานเช็คอินไม่ทัน สำหรับกิจกรรมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง






การเลือกเสื้อชูชีพควรเลือกที่ตัวเล็กหน่อยเอาพอดีตัว เพราะถ้าหลวมเวลาลงน้ำจะทำให้เสื้อลอยขึ้นมาค้ำที่คอ
จะทำให้ลอยน้ำลำบาก






             ระหว่างทางที่ลอยแพก็ผ่านรีสอร์ทอื่นๆด้วย บางที่แปะเบอร์โทรตัวใหญ่ไว้ให้เลย ถือว่าเป็นการสำรวจ
ไปในตัวเผื่อทริปอื่นๆ นักท่องเที่ยวพอเห็นแพมาทุกคนต่างโบกมือ
 ยิ้มทักทายให้หรือกระโดดน้ำโชว์ก็ยังมี บรรยากาศในแพคึกครื้นไม่เงียบเหงา
 







เมื่อถึงจุดกระโดดเล่นน้ำต้องตัดสินใจทันที เพราะเมื่อโดดลงไปเราก็จะได้ลอยตามแม่น้ำเรื่อยๆ
จนมาถึงน้ำตกไทรโยคใหญ่
จุดสิ้นสุดที่แพพัก ถ้าตัดสินใจช้าจะทำให้กลับมาขึ้นแพลำบาก
แนะนำว่าให้กระโดดเล่นน่าสนุกมาก
ส่วนเราไม่ได้เล่นเพราะกะจะคอยเก็บภาพ น่าเสียดายมาก
ไปคราวหน้าต้องลงเล่นให้ได้







               มาน้ำตกแล้วเขาจะปล่อยให้เราเล่นใกล้ๆน้ำตก กระแสน้ำไหลค่อนข้างแรงควรเกาะห่วงยาง
หรือเชือกไว้ไม่งั้นปลิวไปกับแม่น้ำแน่ๆ




















               ระหว่างนั่งดูคนอื่นๆเล่นจะมีเรือมาจอดเทียบ 1 ลำ เป็นคุณลุงกับคุณป้าขาก๊วยเตี๋ยว 40 บาท
และเครื่องดื่มร้อนๆ 20 บาท
 







เล่นกันเต็มที่แล้วได้เวลากลับ มาถึงที่พักประมาณ 11.00น. มีเวลาอาบน้ำและเตรียมเช็คเอ้าท์





                 ตอนจะกลับแดดแรงมาก แต่ส่องน้ำเป็นประกายวิบวับสวยมากเช่นกัน







               ขากลับก็เส้นทางเดิมแต่คราวนี้จะ มีเพียงแค่รถบัสที่สามารถกลับได้ รถจะมาทุก 30 นาที 
นั่งรถสโลว์ไลฟ์ลงที่บขส.เตรียมขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพ 





               ใกล้ๆบขส.จะมีร้านขนมศรีฟ้าต้องเดินออกไปนอกสถานี ร้านจะอยู่ใกล้ๆกับวินมอไซค์
ขนมอร่อยมากซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกันไปได้ 
ข้างในร้านไม่ให้ถ่ายภาพ










จบไปแล้วกับทริปแรกและรีวิวแรก
หวังว่าข้อมูลของเราพอจะมีประโยชน์ให้กับใครหลายๆคนและอยากออกเดินทาง
ขอบคุณเพื่อนที่น่ารัก ผู้คนที่พบเจอ และที่พักดีๆ ทำให้เราปรับมุมมองใหม่อยากจะเที่ยวเมืองไทยให้มากขึ้น

กระซิบไว้เลยว่าเตรียมพบกับทริปใหม่ของเราในเดือนหน้านี้ รอกันด้วยนะ