บันทึกการเดินทางชีวิตพาราไดซ์ในกาญจนบุรี
อาจจะไม่ใช่รีวิวที่ละเอียด
เพราะเดิมแรกไม่ได้ตั้งใจจะมารีวิว แต่เพราะที่นี่
'The River Kwai
Paradise'
เติมเต็มความประทับใจให้กับประสบการณ์เที่ยวค้างคืนต่างจังหวัดกับเพื่อครั้งแรกจนเปี่ยมล้น
จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ใครหลายๆคนได้มาสัมผัสที่นี่ดูสักครั้ง
เชื่อว่าคนที่เดินทางไปเองไม่มีรถแบบเรา หรือคนที่มาด้วยรถส่วนตัวจะต้องติดใจ
แล้วอยากกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน
จะไปที่ไหน?
คำถามแรกที่ปรากฏขึ้นในพื้นที่สมอง
ทั้งถูก เดินทางสะดวก และมีกิจกรรมสนุก
เริ่มแรกเลยเราหาอยู่นานมากว่าจะไปเที่ยวไหนดี
และเป็นการไปต่างจังหวัดครั้งแรกกับเพื่อน
โดยไม่มีรถส่วนตัวแถมค้างคืนอีก ก็ยิ่งอยากหาที่พักที่ดีเดินทางง่าย
กาญจนบุรีเป็นจังหวัด
ที่มีที่พักเยอะมากจนไม่สามารถเลือกได้
จนในที่สุดเรากับเพื่อนสรุปกันว่าเลือกสักที่เถอะ เราได้โทรติดต่อจองที่พัก
กับทาง The River Kwai Paradise ทั้งทางโทรศัพท์และทางไลน์ พี่เจ้าของที่พักน่ารักมากยินดี
ตอบคำถามทุกอย่าง เราได้ราคาห้องมาด้วยแพคเก็จรวมอาหารเย็นและเช้า+ล่องแพ
2
วัน 1 คืน
คนละ 1100 บาท เช็คอิน
14.00น. เช็คเอ้าท์ 12.00น.
การเดินทาง
- เริ่มต้นที่รถตู้อนุสาวรีย์ชัย - กาญจนบุรี ให้ลงที่บขส.กาญจนบุรี
ค่าใช้จ่าย 120 บาท
ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
จากบขส.ให้ขึ้นรถที่เข้าเส้นทางทองผาภูมิ
ซึ่งสามารถเลือกขึ้นรถตู้ ราคา 100 กว่าบาท
หรือว่าจะขึ้นรถบัสสโลว์ไลฟ์ได้ 55 บาทใช้เวลาเดินทางเข้าไปยังที่พักประมาณ
2 ชั่วโมง
เนื่องจากตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำรีวิว
ภาพส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายตามอารมณ์
ไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก การขึ้นรถไปทองผาภูมิ
ตอนแรกพี่ที่รถบัสบอกว่าเดินทาง
ประมาณชั่วโมงกว่าก็ถึง เราเลยเลือกขึ้นรถบัส
พอล้อหมุนเท่านั้น ชีวิตสโลว์ไลฟ์สุด ลงไม่ได้
นั่งเปื่อยอยู่บนนั้นเกือบสามชั่วโมง ถ้าใครอยากถึงที่พักเร็วๆ แนะนำรถตู้เลย
แต่ข้อดีของรถบัสก็มีนะ
ชมวิวธรรมชาติไปเรื่อยๆ มีชาวต่างชาติด้วย
เรามีเพื่อนร่วมทาง
เป็นสาวชาวฝรั่งเศสมาแบบบุกเดี่ยวและสไตล์ดูฮิปสเตอร์แบบชิคๆมาก
เราที่นั่งมองก็แอบกดชัตเตอร์ไปเพลินๆ
บอกให้รถมาจอดที่ดาวดึงส์ นี่คือป้ายที่อยู่ปากทางเข้าที่พัก จริงๆใครอยากเดินเข้าไปก็เดินได้ไม่ไกลมาก
แต่ถ้าขี้เกียจเดินโทรบอกพี่ที่รีสอร์ทให้ออกมารับได้เลยจะมีรถมอไซค์ที่มีที่นั่งพ่วง
นั่งกันรับลมชมวิว ธรรมชาติสุดๆ
เราเดินทางจากบขส. บ่าย 3 โมง ทำให้กว่าจะได้เข้าที่พักก็เกือบ 6 โมง เมื่อมาถึงให้ติดต่อกับพี่เจ้าของที่พัก
พร้อมจ่ายเงินที่เหลือ
(ตอนจองต้องมัดจำ 50%)
จะได้กุญแจห้องมา สามารถหยิบเสื้อชูชีพติดตัวไปด้วย
ไว้เล่นน้ำหน้าห้อง
ห้องที่เราได้ถือว่าวิวสวยมากโชคดีเลย ตอนเรามาน้ำไหลค่อนข้างแรง แถมบรรยากาศ
ปกคลุมด้วยความมืด
จึงตัดสินใจไม่ลงเล่นน้ำเพื่อความปลอดภัย
เข้าห้องพักอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อม
สำหรับมื้ออาหารเย็น
เมื้อเย็นที่นี่จะเปิดให้ทานได้ตั้งแต่เวลา
18.30-20.00 น. เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งของคาวและของหวาน
อร่อยมาก มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายเพิ่มเติมสำหรับใครอยากนั่งเล่นจิบเบาๆเอาบรรยากาศ
ที่นี่จะมีห้องพักเยอะเราเลยเดินสำรวจทางอื่นๆระหว่างรออาหารย่อย บรรยากาศโดยรอบจะมีไฟสีส้มสลัวๆไม่สว่างมาก
ลมเย็นสบายๆแถมไม่มียุงเลย
ภายในห้องพักเราไม่ได้ถ่ายมา
แต่ห้องที่เราพักจะเป็นเตียงใหญ่ที่สามารถนอน 2 คนได้สบายๆ มีสบู่
ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว
น้ำดื่มและทิชชู่ให้ ใครที่กลัวหนาว ที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้เช่นกัน ใครที่อยากเล่น
wifi
ต้องใช้บริการที่ห้องรวมที่ทานอาหารจะเปิดให้ใช้ได้เลย
ในห้องพักปลั๊กจะเป็นแบบปลั๊ก 2 รู
จบไปแล้วกับค่ำคืนแรก
ตอนเช้าตื่นมาตอนแรกกะว่าจะตื่นประมาณตี
5
เพื่อมาสูดอากาศและเก็บภาพเล่นๆ
แต่เพราะบรรยากาศดีมากและข้างนอกยังมืดเลยนอนต่อจนถึง
6 โมงเช้า
ทันทีที่ออกมานอกห้อง
ตื่นเต้นกับบรรยากาศมาก ม่านหมอกหนาตาหาไม่ได้ในกรุงเทพ
ว่าแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆชาร์จพลังให้กับตัวเอง
มื้อเช้าจะเริ่มเวลา
6.30-8.30 น. เป็นบุฟเฟต์เช่นเคย มีให้เลือกหลายอย่างทั้งอาหารไทยเบาๆ
ข้าวต้มร้อนๆ
หรือจะเป็นอเมริกันเบรคฟาสต์ ดื่มด่ำกับกาแฟหอมกรุ่นให้คาเฟอีนเรียกความสดชื่นในร่างกาย
ตบท้ายด้วยผลไม้สดชื่นก็ดีทั้งนั้น
สำหรับการล่องแพที่นี่จะแบ่งเป็น
2
เวลาคือ 15.00น. และ 8.00น.
เราเลือกเล่นตอนเช้าเพราะเมื่อวานเช็คอินไม่ทัน
สำหรับกิจกรรมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
การเลือกเสื้อชูชีพควรเลือกที่ตัวเล็กหน่อยเอาพอดีตัว
เพราะถ้าหลวมเวลาลงน้ำจะทำให้เสื้อลอยขึ้นมาค้ำที่คอ
จะทำให้ลอยน้ำลำบาก
ระหว่างทางที่ลอยแพก็ผ่านรีสอร์ทอื่นๆด้วย
บางที่แปะเบอร์โทรตัวใหญ่ไว้ให้เลย ถือว่าเป็นการสำรวจ
ไปในตัวเผื่อทริปอื่นๆ นักท่องเที่ยวพอเห็นแพมาทุกคนต่างโบกมือ ยิ้มทักทายให้หรือกระโดดน้ำโชว์ก็ยังมี
บรรยากาศในแพคึกครื้นไม่เงียบเหงา
เมื่อถึงจุดกระโดดเล่นน้ำต้องตัดสินใจทันที
เพราะเมื่อโดดลงไปเราก็จะได้ลอยตามแม่น้ำเรื่อยๆ
จนมาถึงน้ำตกไทรโยคใหญ่ จุดสิ้นสุดที่แพพัก
ถ้าตัดสินใจช้าจะทำให้กลับมาขึ้นแพลำบาก
แนะนำว่าให้กระโดดเล่นน่าสนุกมาก ส่วนเราไม่ได้เล่นเพราะกะจะคอยเก็บภาพ
น่าเสียดายมาก
ไปคราวหน้าต้องลงเล่นให้ได้
มาน้ำตกแล้วเขาจะปล่อยให้เราเล่นใกล้ๆน้ำตก
กระแสน้ำไหลค่อนข้างแรงควรเกาะห่วงยาง
หรือเชือกไว้ไม่งั้นปลิวไปกับแม่น้ำแน่ๆ
ระหว่างนั่งดูคนอื่นๆเล่นจะมีเรือมาจอดเทียบ
1
ลำ เป็นคุณลุงกับคุณป้าขายก๊วยเตี๋ยว 40
บาท
และเครื่องดื่มร้อนๆ 20 บาท
เล่นกันเต็มที่แล้วได้เวลากลับ
มาถึงที่พักประมาณ 11.00น. มีเวลาอาบน้ำและเตรียมเช็คเอ้าท์
ตอนจะกลับแดดแรงมาก
แต่ส่องน้ำเป็นประกายวิบวับสวยมากเช่นกัน
ขากลับก็เส้นทางเดิมแต่คราวนี้จะ
มีเพียงแค่รถบัสที่สามารถกลับได้ รถจะมาทุก 30 นาที
นั่งรถสโลว์ไลฟ์ลงที่บขส.เตรียมขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพ
ใกล้ๆบขส.จะมีร้านขนมศรีฟ้าต้องเดินออกไปนอกสถานี
ร้านจะอยู่ใกล้ๆกับวินมอไซค์
ขนมอร่อยมากซื้อเป็นของฝากติดไม้ติดมือกันไปได้ ข้างในร้านไม่ให้ถ่ายภาพ
จบไปแล้วกับทริปแรกและรีวิวแรก
หวังว่าข้อมูลของเราพอจะมีประโยชน์ให้กับใครหลายๆคนและอยากออกเดินทาง
ขอบคุณเพื่อนที่น่ารัก
ผู้คนที่พบเจอ และที่พักดีๆ ทำให้เราปรับมุมมองใหม่อยากจะเที่ยวเมืองไทยให้มากขึ้น
กระซิบไว้เลยว่าเตรียมพบกับทริปใหม่ของเราในเดือนหน้านี้ รอกันด้วยนะ ♡